วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561

คุณประโยชน์จากพริกไทย มีมากเกินคาด


พริกไทยราชาแห่งเครื่องเทศ ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งเป็นเครื่องปรุงที่เอาไว้ดับคาวอาหาร และเป็นสมุนไพร ที่มีประโยชน์ต่อการรักษา พริกไทยนั้น จะมีลักษณะเม็ดเล็ก แต่รสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อน ถ้าทำเป็นแบบแห้ง ก็จะได้ทั้งพริกไทยดำ (ไม่ปอกเปลือก) และพริกไทยขาว (ปอกเปลือกแล้ว) หรือ ถ้านำไปป่นก็จะกลายเป็นพริกไทยป่น เอาไว้โรยหน้าอาหารต่าง ๆ และให้กลิ่นหอมฉุน

ลักษณะของพริกไทย
พริกไทย เป็นต้นไม้อายุยืน เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีรากฝอยตามข้อเถา เอาไว้ยึดเกาะ มีขนาดความยาวประมาณ 5 เมตร ใบใหญ่คล้ายใบโพธิ์ แต่จะมีดอกขนาดเล็ก เมล็ดพริกไทยจะมีลักษณะกลม เม็ดเล็กเป็นพวง ตรงข้อของลำต้น โดยนิยมปลูกพริกไทยกันมาก ในจังหวัดจันทบุรี ตราด และระยอง โดยสายพันธ์ุที่นิยมปลูกกัน มีด้วยกัน 6 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ใบหนา พันธุ์บ้านแก้ว พันธุ์ปรางถี่ธรรมดา พันธุ์ปรางถี่หยิก พันธุ์ควายขวิด และสายพันธุ์คุชชิ่ง

วิธีการนำพริกไทยดำ มาทำการรักษา
1. นำพริกไทยดำ มาแช่ในน้ำร้อน (1 พวงเมล็ด) นานประมาณ 15 - 20 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำร้อน (ทำคล้าย ๆ แช่ชา) ผสมกับน้ำผึ้ง 1 - 2 ช้อนชา แล้วค่อย ๆ จิบ เมื่ออาการไอแบบมีเสมหะ
2. เมื่อมีอาการอยากบุหรี่ ระหว่างวัน ให้นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ มาชุบสำลี แล้วเอามาสูดดมทุกครั้งที่มีอาการ เพราะกลิ่นของน้ำมันพริกไทยดำ จะคล้าย ๆ กับกลิ่นของบุหรี่
3. ในพริกไทยดำ มีสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคือง จนน้ำมูกไหลออกมาทันที ฉะนั้นจมูกก็จะโล่งมากขึ้น นำน้ำมันสกัด จาก­­พริกไทยดำ 3 หยด ไปต้มในน้ำ 1 ถ้วยตวง แล้วผสมน้ำมันยูคาลิปตัส ลงไปเล็กน้อย ต้มจนไอร้อนพุ่งตัวออกมา แล้วจึงนำน้ำต้มนั้น มาสูดดมเพื่อรักษาอาการ
4. นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ 2 หยด มาผสมกับน้ำมันมะกอก ประมาณ 4 - 5 หยด แล้วผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปทาบริเวณ ที่เคล็ดขัดยอก แล้วนวดวน ๆ สักพัก อาการก็จะดีขึ้น
5. เมื่อรู้ท้องอืด แน่นท้อง ให้เติมพริกไทยดำ ( แบบเม็ด ) ลงในมื้ออาหาร หรือโรยบนเนื้อสัตว์ เพราะพริกไทยดำจะไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่งกรด " ไฮโดรคลอริก " ซึ่งเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ที่มีหน้าที่ปรับสมดุล การย่อยของอาหาร ทำให้กระเพาะ และลำไส้ทำงานเป็นปกติมากขึ้น
6. นำพริกไทยดำ มาตำหยาบ ผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนำมาขัดผิว เพราะในพริกไทยดำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านเชื้อแบคทีเรียค่อนข้างสูง อีกทั้งคึวามร้อนของพริกไทย ยังช่วยเปิดรูขุมขน ช่วยทำให้กำจัดสิ่งสกปรก ที่ฝังลึกได้อย่างดี และสามารถนำไปผสมกับครีม เพื่อทาตัวได้อีกด้วย

ประโยชน์ในการลดความอ้วน
ปัจจุบันได้มีผลการวิจัย จากประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนว่าพริกไทยดำ สามารถลดความอ้วนได้จริง และสามารถลดน้ำหนัก ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจาก ในพริกไทยดำ มีส่วนประกอบของสาร "ไพเพอร์รีน" ที่มีคุณสมบัติ ในการต่อต้านความอ้วน พริกไทยดำ มีจุดเด่นในเรื่องของ ความฉุน และรสชาติที่เผ็ดร้อน ช่วยในการควบคุม การก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ให้ลดลง พร้อมกับทำลายเซลล์ไขมันเก่า ที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย ให้มีจำนวนลดลง และกลับมาอ้วนได้ยากขึ้น และเข้าไปกระตุ้น การหลั่งของกรด ในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกาย เผาผลาญพลังงาน ที่ได้รับจาการรับประทานอาหาร ไปใช้ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นสำเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดความอ้วน

วิธีการนำพริกไทย มาลดความอ้วน
1. ใช้ในการรับประทาน โดยอาจจะนำมาทำ เป็นส่วนผสมของยาลด หรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มักนิยมนำพริกไทย มาป่นให้ละเอียด และผสมกับสมุนไพรตัวอื่น แล้วบรรจุลงแคปซูล หรืออัดเป็นเม็ด เพื่อทำให้ทานง่ายขึ้น โดยนำมารับประทาน ก่อนอาหาร ประมาณ 10 นาที ครั้งละ 2 - 4 แคปซูล เพื่อประสิธิภาพ ในการเผาผลาญไขมัน แต่ห้ามรับประทานทันที หลังทานอาหารเสร็จ เพราะจะทำให้เกิดอาการเรอ และท้องอืดทันที นอกจากนี้ ให้รับประทานแต่พอดี ไม่ควรทานติดต่อกัน นานเกิน 6 เดือน และทานในปริมาณ ที่มากเกินไป เพราะจะทำให้เป็น มะเร็งได้เช่นกัน
2. นำน้ำมันพริกไทยดำ มาผสมกับครีม หรือนำพริกไทยป่นมาผสมกับ น้ำมันมะกอก แล้วเอามาทา หรือนวดวน ๆ ที่บริเวณต้นแขน ต้นขา จุดที่เป็นเปลือกส้ม ไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าจุดนั้นเริ่มร้อน ทาแบบนี้ทุกวัน หลังอาบน้ำเย็น หรือ ก่อนนอน วิธีนี้จะช่วยสลายไขมัน ตรงจุดนั้น ให้ผิวเรียบลื่น ไม่เป็นลูกคลื่น

เนื่องจากใน พริกไทยดำ ก็มีสารสารอัลคาลอยด์ ไพเพอร์ริน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะถูกทำปฏิกิริยา เปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งได้ จึงเห็นได้ชัดว่า พริกไทย ไม่ได้มีประโยชน์อย่างเดียว แต่ก็มีโทษด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้ใช้ในปริมาณ ที่พอเหมาะ อีกทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคตา และโรคริดสีดวงทวาร ไม่ควรทานพริกไทยดำ เพราะจะทำให้อาการ กำเริบขึ้นได้

พริกไทยกับอาหาร
นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ ก็คือการเป็นเครื่องเทศ ปรุงอาหาร ที่ขาดไม่ได้ในหลาย ๆ เมนู เพราะมีรสชาติที่จัดจ้านถึงใจ สามารถเอามาตัดความเลี่ยน ความคาวในอาหารได้อย่างลงตัว พริกไทย ยังมีคุณสมบัติ ในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมนำมาถนอมอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ ซึ่งจะมีพริกไทยเป็นส่วนผสม หรือเพียงแค่โรยหน้าแกงต่าง ๆ ก็เพิ่มรสชาติได้อย่างหน้าอัศจรรย์

คุณค่าทางด้านโภชนาการ
1. พริกไทยมีแคลเซียม ในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะในพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูก และฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และยังสามารถป้องกัน การเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
2. พริกไทยมี ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่ช่วยในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ของวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น
4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุูมูลอิสระ มีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็งในระยะเริ่มต้น

นอกจากผลของพริกไทย จะมีประโยชน์มากมายแล้ว ใบและลำต้น ก็ยังสามารถเอามาทำยาสมุนไพรได้เช่นกัน ทั้งนี้อยู่ที่ว่า ใครจะนำไปทำ หรือผลิตเป็นแบบไหน โดยใช้ได้ทั้ง ดอกที่รักษาอาการตาแดง และความดันโลหิตสูง, ใบ แก้ลมจุกเสียด ปวดมวนท้อง, เถา แก้เสมหะที่คั่งที่ปอด และลดอาการท้องร่วง ขั้นรุนแรง, ราก ใช้ขับลมลำไส้ แก้วิงเวียน, น้ำมัน ในพริกไทย ช่วยลดน้ำหนัก และนวดทาบริเวณที่ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ


เมนูแนะนำวันนี้ทะเลผัดฉ่า นอกจากจะเป็นอาหารที่ให้พลังงานและคุณค่าทางโภชนาการสูง ยังเป็นแหล่งที่สำคัญของใยอาหาร ซึ่งมาจากการใส่เม็ดพริกไทยลงไป จึงมีประโยชน์ต่อระบบร่างกายคนเรา แวะมาทานอาหารหรือสนใจเมนูอาหารสุขภาพเมนูอื่นสามารถสอบถามได้ที่ร้าน myhome ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ถั่วพลูอีกหนึ่งผักที่มีคุณค่าทางอาหาร


ถั่วพู หรือ ผักถั่วพู อีกหนึ่งผักที่มีคุณค่าทางอาหารที่ดีต่อร่างกายและมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรได้อีกด้วยค่ะ และวันนี้เราก็นำความรู้ของสรรพคุณของถั่วพูและประโยชน์ของถั่วพู มาฝากกันอีกเพื่อให้รับสารอาหารที่ช่วยรักษาโรคและมีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายไปดูกันเลยดีกว่า

ประโยชน์ของถั่วพู

การกินถั่วพูก็ยังมีกากใยอาหารมากทำให้ระบบขับถ่ายของเราเป็นไปอย่างปกติ ท้องไม่ผูก นอกจากนั้นแล้วหัวของถั่วพูก็สามารถนำไปตากแห้งแล้วคั่วไฟให้เหลืองนำมาชงเป็นน้ำดื่มชูกำลังสำหรับคนป่วยหรืออ่อนเพลียง่ายได้อีกด้วย

คุณค่าทางอาหารของถั่วพู

ถั่วพู 100 กรัม ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.4 กรัม โปรตีน 2.1 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 43 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.8 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.35 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.14 มิลลิกรัม วิตามินซี 32 มิลลิกรัม

สรรพคุณของถั่วพู

- หัวใช้บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไข้กาฬ
- ราก แก้โรคลมพิษกำเริบ ดีฟุ่ง ทำให้คลั่งเพ้อ ปวดท้อง ถั่วพูใช้รักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิด
- ตำรายาโบราณว่า ให้นำเมล็ดถั่วพลูมาต้มโดยคัดเอาเฉพาะเมล็ดแก่สีน้ำตาลเข้มจะรับประทานเมล็ดที่ต้มสุกเลยก็ได้ หรือนำเมล็ดที่ต้มสุกมาบดให้ละเอียดผสมน้ำสุกดื่มก่อนอาหาร 3 เวลา จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงเพิ่มกำลังวังชา


นอกจากถั่วพูจะเป็นยาแล้วยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารได้ตั้งหลายเมนู วันนี้เราเลยมาแนะนำเมนูอาหารที่ทำมาจากถั่วพู ทานแล้วว่ารับรองได้ประโยชน์มากมายแน่นอน เมนูนี้ก็คือ “ยำถั่วพูโบราณ” ที่มีรสชาติจัดจ้านและกลมกล่อม ได้รสซี้ดซ้าดด้วยความเผ็ด แถมเป็นเมนูลดน้ำหนักสำหรับคนที่กำลังรักษาหุ่นอีกด้วย สนใจหรือสบถามได้ที่ร้าน myhome ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของผักกาดหอม ที่คุณควรรู้จัก


ผักกาดหอม หรือที่เรารูจักในชื่อของ ผักสลัด เป็นผักที่มีลำต้นเตี้ย แต่ส่วนที่เจริญมากที่สุดคือใบ แต่ละสายพันธุ์ก็มีช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและยุโรป ประเทศจีนปลูกมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกเช่น ผักสลัด ผักกาดยี พังฉ้าย เป็นต้น มนุษย์นำใบของมาบริโภค มักใช้เป็นส่วนประกอบของสลัด แซนด์วิช แฮมเบอร์เกอร์ ทาโก้ หรือรับประทานเป็นผักสด แกล้มกับอาหารรสจัดจำพวกยำหรือลาบ สาคูไส้หมู หรือข้าวเกรียบปากหม้อ หรือแม้แต่ใช้เป็นผักตกแต่งเพื่อความสวยงาม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง[ต้องการอ้างอิง] ความต้องการใช้ของผู้บริโภคมีอยู่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงที่มีเทศกาลงานต่าง ๆ เช่น งานปีใหม่ จะขายดีเป็นพิเศษ


สรรพคุณและประโยชน์ทั้งหมดของผักกาดหอม

1. เมล็ด สรรพคุณช่วยขับน้ำนมของสตรีหลังคลอดบุตร (เมล็ด)

2. น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาแก้ไอได้เป็นอย่างดี (ใบ)

3. เมล็ดตากแห้งประมาณ 5 กรัม นำมาชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ถ้าหากใช้ต้นให้ใช้เพียงครึ่งต้นทานเพื่อช่วยขับเสมหะและแก้อาการไอ และไม่ควรใช้มากเกินไป (เมล็ด,ต้น)

4. สรรพคุณ ช่วยขับเหงื่อ (น้ำคั้นจากใบ)

5. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (น้ำคั้นจากทั้งต้น)

ผักกาดหอมที่คนไทยกินกันมากที่สุดก็คือ ผักกาดหอมใบ ที่มีใบสีเขียว โดยใบข้างนอกมีสีเขียวเข้มกว่าใบอ่อนด้านใน ขอบใบหยิกสวย ลำต้นลักษณะเป็นข้อสั้น เนื้อใบกรอบ รสหวานปนฝาดเล็กน้อย กินได้ทั้งแบบสด เช่น ใส่ในสลัด ยำ เมี่ยง แซนด์วิช ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หรือกินเคียงสาคูไส้หมู แต่เมื่อนำไปปรุงสุก ใบจะอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย และรสชาติหวานขึ้น เช่น ใส่ในแกงจืดหรือก๋วยเตี๋ยว ประโยชน์จากการกินผักกาดหอมก็คือ ช่วยให้นอนหลับง่าย ขับปัสสาวะ ล้างพิษ ขับเหงื่อ และแก้ไข้ และในผักกาดหอมหนัก 100 กรัม จะมีฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 24 มิลลิกรัม รวมถึงมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเอสูง ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาได้เป็นอย่างดี


ผักกาดหอมเป็นพืชที่ใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก เพราะมีแมลงศัตรูพืชและโรคเยอะ อีกทั้งต้นยังเจริญเติบโตใกล้ผิวดิน ก่อนจะกินหรือนำมาปรุงอาหาร จึงควรฉักแยกแต่ละใบออกจากลำต้น แล้วล้างให้สะอาด อีกปัญหาที่พบบ่อยของผักกาดหอมก็คือ มีรสขมจนต้องทิ้ง ซึ่งความขมก็ขึ้นอยู่กับระยะการเก็บผลผลิตและสภาพอากาศตอนปลูก โดยความขมของผักกาดหอม เกิดจากสารแลคทูคาเรียม (Lactucarium) ที่อยู่ในยางสีขาว ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลาย แก้ไอ และแก้ปวด ใบของผัดกาดหอม นำมาปรุงเป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้หลับได้ง่าย น้ำคั้นจะเป็นยาแก้ไอได้อย่างดี แก้ไข้ ขับปัสสาวะและขับเหงื่อ เมล็ดผัดกาดหอม จะมีรสขม ช่วยขับน้ำนม รักษาโรคตับ ขับปัสสาวะ เป็นยาระงับปวดแก้ปวดเอว รักษาริดสีดวงทวาร



บัวบก บำรุงสมอง เพิ่มความเยาว์วัย

เมื่อพูดถึง บัวบก หลายคนคงจะถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว เพราะเป็น สมุนไพร ที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณแก้ร้อนใน ช้ำใน หรือใครที่กระหายน้ำสามารถดื่ม...