วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บัวบก บำรุงสมอง เพิ่มความเยาว์วัย


เมื่อพูดถึงบัวบก หลายคนคงจะถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว เพราะเป็นสมุนไพรที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณแก้ร้อนใน ช้ำใน หรือใครที่กระหายน้ำสามารถดื่มน้ำใบบัวบกที่มีวางขายอยู่ทั่วไปให้ชื่นใจ หมดความกระหายได้เลยทันที น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักสมุนไพรที่เรียกว่า บัวบก

ในขณะที่อีกมุมหนึ่งของบัวบกที่น้อยคนนักจะรู้จัก นั่นคือ สรรพคุณในการบำรุงสมอง ในตำราไทยกล่าวว่า บัวบกมีรสเฝื่อน ขม เย็น เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสียหรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า เป็นยาบำรุงกำลัง ยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังมีผู้สรรพคุณของบัวบกว่า "กิน 1 เดือน โรคร้ายหายสิ้นมีปัญญา กิน 2 เดือน บริบูรณ์น่ารักมีเสน่ห์ กิน 3 เดือน ริดสีดวงสิบจำพวกหายสิ้น กิน 4 เดือน ลมสิบจำพวกหายสิ้น กิน 5 เดือน โรคร้ายในกายทุเลา กิน 6 เดือน ไม่รู้จักเมื่อยขบ กิน 7 เดือน ผิวกายจะสวยงาม กิน 8 เดือน ร่างกายสมบูรณ์เสียงเพราะ.."

นอกจากนี้บัวบกยังเพิ่มความสามารภในด้านความจำและการเรียนรู้ และยังออกฤทธิ์บำรุงสมอง บัวบกทำให้การหายใจในระดับเซลล์ของสมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาท acetylcholine ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เสริมฤทธิ์การทำงานของสาร GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาททำหน้าที่รักษาสมดุลของจิตใจ ทำให้ผ่อนคลายและหลับได้ง่าย นอกจากนี้บัวบกยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง และสามารถนำเลือดไปเลี้ยงในอวัยวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เป็นต้น

จากสรรพคุณดังกล่าว ทำให้บัวบกมีแนวโน้มจะใช้เป็นอาหารเพิ่มไอคิว เพิ่มความฉลาด เพิ่มความสามารถในการจำและการเรียนรู้ในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กปัญญาอ่อนรวมไปถึงการใช้ในเด็กสมาธิสั้น เนื่องจากบัวบกทำให้สารในสมองมีความสมดุล คือ มีความสงบผ่อนคลาย และการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองทำให้เกิดความสามารถในเรียนรู้ได้ดีขึ้น ส่วนในคนทั่วไปบัวบกจะช่วยชะลออาการของโรคสมองเสื่อมในวัยชรา หรืออัลไซเมอร์ รวมทั้งช่วยคลายเครียด ทำให้มีสมาธิในการทำงานอีกด้วย

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

กระเทียม: ทานทุกวัน ป้องกันสารพัดโรค


กระเทียม” เป็นพืชล้มลุกชนิดมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวจะประกอบไปด้วยกลีบเรียงซ้อนกันประมาณ 4 - 10 กลีบ บางพันธุ์จะมีเพียงกลีบเดียว เรียกว่า “กระเทียมโทน” กลีบมีกาบเป็นเยื่อบางๆ สีขาวอมชมพูหุ้มอยู่โดยรอบ กระเทียมเป็นพืชที่มีรากไม่ยาวนัก ใบมีลักษณะแบนยาว ปลายใบแหลม ที่โคนจะมีใบหุ้มซ้อนกัน ออกดอกเป็นช่อสีขาวติดเป็นกระจุกที่ปลายก้านช่อ

หลายคนรู้จักกระเทียมในฐานะสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมฉุน รสชาติเผ็ดร้อน และมีสารอาหารที่สำคัญ ประกอบด้วย กรดไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล กรดอะมิโน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินซี นอกจากนี้ กำมะถัน ที่อยู่ในกระเทียมยังช่วยยับยั้งการเกิดสารไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง รวมทั้งมีซีลีเนียมที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ได้อีกด้วย

สำหรับสรรพคุณของกระเทียมก็มีอยู่มากมายเช่นกัน โดยการทานกระเทียมทั้งสดหรือแห้งเป็นประจำ จะสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน และกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยลดความดันโลหิต รวมทั้งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้เป็นปกติได้

ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เพราะกระเทียมยังช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมทั้งช่วยป้องกันโรคหวัด วัณโรค ปอดบวม ไทฟอยล์ มาลาเรีย คอตีบ คออักเสบ และอหิวาตกโรคได้อีกด้วย

สำหรับวิธีการใช้กระเทียมเพื่อรักษาโรคต่างๆ นั้น มีดังนี้
กระเทียมสด ครึ่งกิโลกรัม ทุบพอแตก แช่ในน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ประมาณ 1 สัปดาห์ รับประทานครั้งละ ½ ช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง ใช้ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ และขับเสมหะได้

กระเทียมสด 5 - 7 กลีบ นำมาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาล และเกลือเล็กน้อย แล้วกรองเอาแต่น้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร จะช่วยขับลมในกระเพาะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้

กระเทียมสด คั้นเอาแต่น้ำ ใช้ทารักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า รวมทั้งเชื้อราในช่องคลอดได้ หรือจะนำมาหยอดหูประมาณ 1 - 2 หยด วันละ 3 - 4 ครั้ง จะใช้รักษาอาการปวดหู หูอื้อ และหูตึงได้ด้วย

กระเทียมสดปอกเปลือก นำมาทุบหรือฝานทาในบริเวณที่เป็นแผล จะใช้รักษาแผลสดและแผลเป็นหนองได้

อย่างไรก็ดี การรับประทานกระเทียมก็ยังมีข้อจำกัด คือ ไม่ควรรับประทานกระเทียมหรือผลิตภัณฑ์กระเทียมเสริมในปริมาณที่มากเกินไป และไม่ควรใช้การรับประทานกระเทียมเพื่อหวังผลในการรักษาโรค หรือบำบัดอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ตัวบุคคล ดังนั้น ทางที่ดีก็คือ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะดีกว่า

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

ถั่วฝักยาว ประโยชน์ไม่ธรรมดา สรรพคุณทางยาไม่น้อยหน้าใคร !


ถั่วฝักยาว ภาษาอังกฤษคือ yardlong bean มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vigna unguiculata subsp. เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับพวกถั่วต่าง ๆ อย่าง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแปบ คืออยู่ในวงศ์ Fubaceae มีลักษณะพิเศษที่ทำให้แตกต่างจากถั่วชนิดอื่นอย่างชัดเจน ด้วยฝักสีเขียวที่ยาวสะดุดตา โดยคนไทยเรานิยมนำไปประกอบอาหารหลากหลายประเภท ทั้ง ผัด แกง ตำแทนมะละกอ และใช้เป็นส่วนผสมของอาหารอื่น ๆ แต่ที่นิยมที่สุดคือนำมากินสด ๆ หรือเป็นเครื่องเคียงคู่กับน้ำพริกและอาหารรสจัด เพราะถั่วฝักยาวจะช่วยลดความเข้มข้นของอาหารลงได้

ถั่วฝักยาว มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์แบบไหน ?
ต้น : ถั่วฝักยาวเป็นพืชล้มลุก เลื้อยไปตามไม้ค้ำ มีข้อปล้อง กิ่ง ก้าน และรากที่ไม่ลึกมาก ทั้งรากแก้วและรากแขนง
ใบ : ใบของถั่วฝักยาว เป็นใบประกอบที่มีใบย่อยประมาณ 3 ใบ สลับกันอยู่บนต้น มีขนาดเล็ก รูปไข่ ปลายแหลม สีเขียว โดยที่โคนใบจะมีหูใบเส้นเล็ก ๆ อยู่ 2 เส้น
ผล : ผลของถั่วฝักยาว จะออกเป็นฝักสีเขียว ผิวขรุขระ ยาวประมาณ 20-60 เซนติเมตร ซึ่งเป็นส่วนที่เราทำมาประกอบอาหารกันนั่นเอง
เมล็ด : เมล็ดถั่วฝักยาวจะมีลักษณะคล้ายไต กลมเล็กน้อย และมีหลายสี เช่น ขาว ดำ น้ำตาล และสีสลับ
ดอก : ดอกของถั่วฝักยาวออกเป็นช่อ มีดอกย่อยประมาณ 2-3 ดอก โดยจะบานตอนเช้า และหุบตอนบ่าย

ถั่วฝักยาว กับสรรพคุณทางยาดี ๆ
ราก : รักษาโรคหนองในและโรคบิด ทำให้เจริญอาหาร และช่วยบำรุงม้ามได้
ฝักสด : ระงับอาการปวด หรือตำคั้นเอาน้ำมาดื่มแก้ท้องอืดแน่น เรอเปรี้ยว เนื่องจากกินมากไป
เปลือกฝัก : ลดอาการปวดบวม และช่วยรักษาแผลที่เต้านม
ใบ : ใช้ต้มน้ำกิน แก้ปัสสาวะพิการ รักษาหนองใน และปัสสาวะเป็นหนองได้
เมล็ด : แก้กระหายน้ำ อาการอาเจียน โรคบิด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย และตกขาว อีกทั้งยังช่วยบำรุงม้ามและไตด้วย


กินถั่วฝักยาว อ้วนไหม ช่วยลดน้ำหนักได้หรือเปล่า ?
ไม่ต้องกังวลไปเลยค่ะ เพราะถั่วฝักยาวเป็นผักที่มีโปรตีนเยอะแต่ไขมันน้อย แถมยังมีแคลเซียมสูง ฟอสฟอรัสสูง ไฟเบอร์ก็สูงอีกต่างหาก จึงช่วยดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ดี ทำให้เราอิ่มเร็ว อิ่มนาน และเผาผลาญได้ง่ายขึ้น พร้อมกับช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีเยี่ยม ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงบอกได้ว่า การทานถั่วฝักยาวในปริมาณที่เหมาะสมนอกจากจะไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังช่วยให้เราลดน้ำหนักได้สบาย ๆ อีกนะ

ข้อควรระวังในการทานถั่วฝักยาว
ถึงจะมีประโยชน์มากมายอย่างไร แต่หากทานถั่วฝักยาวแบบสด ๆ ดิบ ๆ หรือทานมากไปก็อาจทำให้ท้องอืดได้ เพราะในถั่วฝักยาวดิบจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และมีเทนอยู่มาก ซึ่งแก๊สพวกนี้ทำให้เกิดกรดเกินในกระเพาะอาหาร จนมีอาการท้องอืด แถมการทานถั่วฝักยาวดิบ ๆ ยังทำให้เราได้รับสารไกลโคโปรตีนเข้าไปเต็ม ๆ ซึ่งสารตัวนี้สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน และเวียนหัวได้ ส่วนใครที่เคี้ยวถั่วฝักยาวไม่ละเอียดแล้วกลืน ก็ต้องระวังว่าถั่วฝักยาวอาจจะไปอุดตันในกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะเป็นผักดิบที่ค่อนข้างเหนียวและแข็งค่ะ

เห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่าถั่วฝักยาวที่เราทานนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารอาหาร แถมให้ประโยชน์ครบถ้วน ถือเป็นผักที่ไม่ธรรมดาอีกหนึ่งชนิดเลย แต่อย่างไรก็อย่าลืมระมัดระวังในการทานถั่วฝักยาว โดยไม่ทานถั่วฝักยาวแบบดิบ ๆ และควรทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วยนะคะ ไม่เช่นนั้นถั่วฝักยาวอาจให้โทษมากกว่าประโยชน์ก็เป็นได้


วันนี้เลยมาแนะนำเมนูที่ทำจากถั่วฝักยาว นั่นก็คือตำถั่วหมูกรอบ เป็นอาหารอีสานยอดนิยมวันนี้ขอนำเสนอ 😋 อาหารง่ายๆเป็นเมนูตำ ใช้ถั่วฝักยาว เป็นวัตถุดิบหลัก คู่กับหมูทอดกรอบๆ ตำถั่วหมูกรอบ เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ ตำถั่วที่มีรสอร่อยจัดจ้าน เผ็ดนัว และหมูกรอบอร่อยๆ หนังกรอบ เนื้อนุ่ม ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆแซ่บถึงไหนถึงกัน 🍽🍻 หรืออยากทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพสามารถมาทานได้ที่ร้านเดอะโฮมได้นะคะ รับรองว่าอาหารอร่อยทุกอย่าง สนใจหรือสบถาม ได้ที่ร้าน The Home Ubon ถนน เลี่ยงเมือง เทศบาลนครอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 085 311 3331 เปิดบริการทุกวัน 17.00-00.00 น.

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

มะเขือเปราะ บำรุงหัวใจ


มะเขือเปราะผักที่ใส่คู่หูกับเจ้าแกงเขียวหวานนั้น เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักกันดีนะคะ บางคนก็ชอบทาน บางคนก็เลือกที่จะไม่ทานและเขี่ยมันทิ้งออกไปจากชามแกงเขียวหวาน แต่ในคนที่ชอบทานนั้น อาจจะทานคู่กันกับ น้ำพริกกะปิ อาจจะจิ้มทั้งสดๆหรือเผาแล้ว ก็แล้วแต่ชอบ ทั้งนี้อยากจะให้ทราบว่า นอกจากความอร่อยแล้ว มะเขือเปราะผักพื้นบ้านนั้น สรรพคุณไม่พื้นบ้านจริงๆค่ะ ยังไม่เพียงเท่านั้นนะคะ เพราะว่าบางคนยังนิยมที่จะนำเจ้ามะเขือเปราะนั้นมาใส่ในยำอีกด้วย อร่อยมามายขนาดนี้แล้ว ดังนั้นคุณจึงไม่สมควรปล่อยให้มะเขือเปราะต้องวางทิ้งอยู่ข้างจานอีกต่อไปแล้ว

ต่อมาเรามากล่าวกันต่อค่ะ ในเรื่องของประโยชน์มะเขือเปราะนั้นก็มีมากทีเดียว โดยในอินเดียนั้นจะนำมะเขือเปราะมาทำเป็นยา โดยผลมะเขือเปราะนั้นจะช่วยขับพยาธิ ลดการอักเสบ ช่วยย่อยอาหารและช่วยในการขับถ่าย

ซึ่งในเรื่องของประโยชน์จากมะเขือเปราะนั้น ได้ยังมีการวิจัยยืนยันอีกด้วยนะคะว่า ทางงานวิจัยนั้นได้พบว่าผลมะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อเรียบ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ และลดความดันเลือด และยังลดปริมาณน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานได้อีกด้วย โดยสารสกัดจากมะเขือเปราะนั้นจะออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน โดยช่วยเสริมการใช้งานกลูโคสอย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลเชิงบวกต่อการทำงานของตับอ่อน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามิน C อีกด้วย

เอาล่ะค่ะ เมื่อทราบกันแบบนี้แล้ว คนไหนที่ไม่ชอบมะเขือเปราะนั้น เห็นทีจะไม่ได้แล้วนะคะ เพราะว่าประโยชน์ของมันมากมายเสียขนาดนี้ ถ้าจะเขี่ยมันออกไปนอกจาน คงไม่ดีแล้วล่ะมั้งคะ แนะนำนะคะ เพราะว่าตอนแรกตัวนักเขียนเองก็ไม่ชอบทานเหมือนกันค่ะ เจ้ามะเขือเปราะนี่ ลองทำให้มันนิ่มๆสิคะ เราจะรับประทานง่ายขึ้น และยังอร่อยอีกด้วยอ่ะ ทุกวันนี้ต้องบอกติดใจมะเขือเปราะมากๆเลยค่ะ ทั้งนี้แล้วเมื่อรับประทานอาหารที่ประโยชน์แล้วเนี่ย ต้องขอทิ้งท้ายในเรื่องสุขภาพนะคะว่า ต้องออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ด้วยนะคะ สุขภาพก็จะมาเต็มเลยจ้า ทีนี้ล่ะสุขภาพดีหุ่นสวย ผิวใส คนอิจฉากันแน่นนอน..


วันนี้เลยขอแนะนำเมนูสุขภาพ 🐠"แกงป่าปลาคัง"🐠 เมนูอาหารไทย และเป็นอีกเมนูอาหารภาคกลางที่อร่อย แกงป่าปลาคังเป็นแกงที่มีรสจัดจ้านเผ็ดร้อน เป็นแกงที่ไม่ใส่กะทิ ซดน้ำโล่งคอได้อร่อยแซ่บเวอร์หูตาสว่างดีจริงๆ แถมมีผักและมะเขือเปราะที่ได้ประโยชน์อย่างครบถ้วนแน่นอนค่ะ

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561

คุณประโยชน์จากพริกไทย มีมากเกินคาด


พริกไทยราชาแห่งเครื่องเทศ ที่มีคุณประโยชน์มากมาย ทั้งเป็นเครื่องปรุงที่เอาไว้ดับคาวอาหาร และเป็นสมุนไพร ที่มีประโยชน์ต่อการรักษา พริกไทยนั้น จะมีลักษณะเม็ดเล็ก แต่รสชาติจัดจ้านเผ็ดร้อน ถ้าทำเป็นแบบแห้ง ก็จะได้ทั้งพริกไทยดำ (ไม่ปอกเปลือก) และพริกไทยขาว (ปอกเปลือกแล้ว) หรือ ถ้านำไปป่นก็จะกลายเป็นพริกไทยป่น เอาไว้โรยหน้าอาหารต่าง ๆ และให้กลิ่นหอมฉุน

ลักษณะของพริกไทย
พริกไทย เป็นต้นไม้อายุยืน เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีรากฝอยตามข้อเถา เอาไว้ยึดเกาะ มีขนาดความยาวประมาณ 5 เมตร ใบใหญ่คล้ายใบโพธิ์ แต่จะมีดอกขนาดเล็ก เมล็ดพริกไทยจะมีลักษณะกลม เม็ดเล็กเป็นพวง ตรงข้อของลำต้น โดยนิยมปลูกพริกไทยกันมาก ในจังหวัดจันทบุรี ตราด และระยอง โดยสายพันธ์ุที่นิยมปลูกกัน มีด้วยกัน 6 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ใบหนา พันธุ์บ้านแก้ว พันธุ์ปรางถี่ธรรมดา พันธุ์ปรางถี่หยิก พันธุ์ควายขวิด และสายพันธุ์คุชชิ่ง

วิธีการนำพริกไทยดำ มาทำการรักษา
1. นำพริกไทยดำ มาแช่ในน้ำร้อน (1 พวงเมล็ด) นานประมาณ 15 - 20 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำร้อน (ทำคล้าย ๆ แช่ชา) ผสมกับน้ำผึ้ง 1 - 2 ช้อนชา แล้วค่อย ๆ จิบ เมื่ออาการไอแบบมีเสมหะ
2. เมื่อมีอาการอยากบุหรี่ ระหว่างวัน ให้นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ มาชุบสำลี แล้วเอามาสูดดมทุกครั้งที่มีอาการ เพราะกลิ่นของน้ำมันพริกไทยดำ จะคล้าย ๆ กับกลิ่นของบุหรี่
3. ในพริกไทยดำ มีสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคือง จนน้ำมูกไหลออกมาทันที ฉะนั้นจมูกก็จะโล่งมากขึ้น นำน้ำมันสกัด จาก­­พริกไทยดำ 3 หยด ไปต้มในน้ำ 1 ถ้วยตวง แล้วผสมน้ำมันยูคาลิปตัส ลงไปเล็กน้อย ต้มจนไอร้อนพุ่งตัวออกมา แล้วจึงนำน้ำต้มนั้น มาสูดดมเพื่อรักษาอาการ
4. นำน้ำมันสกัด จากพริกไทยดำ 2 หยด มาผสมกับน้ำมันมะกอก ประมาณ 4 - 5 หยด แล้วผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปทาบริเวณ ที่เคล็ดขัดยอก แล้วนวดวน ๆ สักพัก อาการก็จะดีขึ้น
5. เมื่อรู้ท้องอืด แน่นท้อง ให้เติมพริกไทยดำ ( แบบเม็ด ) ลงในมื้ออาหาร หรือโรยบนเนื้อสัตว์ เพราะพริกไทยดำจะไปกระตุ้น ให้ร่างกายหลั่งกรด " ไฮโดรคลอริก " ซึ่งเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ที่มีหน้าที่ปรับสมดุล การย่อยของอาหาร ทำให้กระเพาะ และลำไส้ทำงานเป็นปกติมากขึ้น
6. นำพริกไทยดำ มาตำหยาบ ผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนำมาขัดผิว เพราะในพริกไทยดำ มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านเชื้อแบคทีเรียค่อนข้างสูง อีกทั้งคึวามร้อนของพริกไทย ยังช่วยเปิดรูขุมขน ช่วยทำให้กำจัดสิ่งสกปรก ที่ฝังลึกได้อย่างดี และสามารถนำไปผสมกับครีม เพื่อทาตัวได้อีกด้วย

ประโยชน์ในการลดความอ้วน
ปัจจุบันได้มีผลการวิจัย จากประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนว่าพริกไทยดำ สามารถลดความอ้วนได้จริง และสามารถลดน้ำหนัก ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจาก ในพริกไทยดำ มีส่วนประกอบของสาร "ไพเพอร์รีน" ที่มีคุณสมบัติ ในการต่อต้านความอ้วน พริกไทยดำ มีจุดเด่นในเรื่องของ ความฉุน และรสชาติที่เผ็ดร้อน ช่วยในการควบคุม การก่อตัวของเซลล์ไขมันใหม่ให้ลดลง พร้อมกับทำลายเซลล์ไขมันเก่า ที่สะสมอยู่ภายในร่างกาย ให้มีจำนวนลดลง และกลับมาอ้วนได้ยากขึ้น และเข้าไปกระตุ้น การหลั่งของกรด ในกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกาย เผาผลาญพลังงาน ที่ได้รับจาการรับประทานอาหาร ไปใช้ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นสำเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดความอ้วน

วิธีการนำพริกไทย มาลดความอ้วน
1. ใช้ในการรับประทาน โดยอาจจะนำมาทำ เป็นส่วนผสมของยาลด หรืออาหารเสริมลดน้ำหนัก มักนิยมนำพริกไทย มาป่นให้ละเอียด และผสมกับสมุนไพรตัวอื่น แล้วบรรจุลงแคปซูล หรืออัดเป็นเม็ด เพื่อทำให้ทานง่ายขึ้น โดยนำมารับประทาน ก่อนอาหาร ประมาณ 10 นาที ครั้งละ 2 - 4 แคปซูล เพื่อประสิธิภาพ ในการเผาผลาญไขมัน แต่ห้ามรับประทานทันที หลังทานอาหารเสร็จ เพราะจะทำให้เกิดอาการเรอ และท้องอืดทันที นอกจากนี้ ให้รับประทานแต่พอดี ไม่ควรทานติดต่อกัน นานเกิน 6 เดือน และทานในปริมาณ ที่มากเกินไป เพราะจะทำให้เป็น มะเร็งได้เช่นกัน
2. นำน้ำมันพริกไทยดำ มาผสมกับครีม หรือนำพริกไทยป่นมาผสมกับ น้ำมันมะกอก แล้วเอามาทา หรือนวดวน ๆ ที่บริเวณต้นแขน ต้นขา จุดที่เป็นเปลือกส้ม ไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าจุดนั้นเริ่มร้อน ทาแบบนี้ทุกวัน หลังอาบน้ำเย็น หรือ ก่อนนอน วิธีนี้จะช่วยสลายไขมัน ตรงจุดนั้น ให้ผิวเรียบลื่น ไม่เป็นลูกคลื่น

เนื่องจากใน พริกไทยดำ ก็มีสารสารอัลคาลอยด์ ไพเพอร์ริน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะถูกทำปฏิกิริยา เปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งได้ จึงเห็นได้ชัดว่า พริกไทย ไม่ได้มีประโยชน์อย่างเดียว แต่ก็มีโทษด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้ใช้ในปริมาณ ที่พอเหมาะ อีกทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคตา และโรคริดสีดวงทวาร ไม่ควรทานพริกไทยดำ เพราะจะทำให้อาการ กำเริบขึ้นได้

พริกไทยกับอาหาร
นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ ก็คือการเป็นเครื่องเทศ ปรุงอาหาร ที่ขาดไม่ได้ในหลาย ๆ เมนู เพราะมีรสชาติที่จัดจ้านถึงใจ สามารถเอามาตัดความเลี่ยน ความคาวในอาหารได้อย่างลงตัว พริกไทย ยังมีคุณสมบัติ ในการกำจัดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิด จึงนิยมนำมาถนอมอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก กุนเชียง หมูยอ ซึ่งจะมีพริกไทยเป็นส่วนผสม หรือเพียงแค่โรยหน้าแกงต่าง ๆ ก็เพิ่มรสชาติได้อย่างหน้าอัศจรรย์

คุณค่าทางด้านโภชนาการ
1. พริกไทยมีแคลเซียม ในปริมาณที่สูงมาก โดยเฉพาะในพริกไทยอ่อน ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงกระดูก และฟันให้แข็งแรงอยู่เสมอ และยังสามารถป้องกัน การเกิดภาวะกระดูกพรุนได้อีกด้วย
2. พริกไทยมี ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่ช่วยในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
3. มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ของวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น
4. มีสารที่ชื่อว่า ไปเปอรีน และ ฟินอลิกส์ ซึ่งทั้งคู่เป็นสารต้านอนุูมูลอิสระ มีสรรพคุณในการป้องกันมะเร็งในระยะเริ่มต้น

นอกจากผลของพริกไทย จะมีประโยชน์มากมายแล้ว ใบและลำต้น ก็ยังสามารถเอามาทำยาสมุนไพรได้เช่นกัน ทั้งนี้อยู่ที่ว่า ใครจะนำไปทำ หรือผลิตเป็นแบบไหน โดยใช้ได้ทั้ง ดอกที่รักษาอาการตาแดง และความดันโลหิตสูง, ใบ แก้ลมจุกเสียด ปวดมวนท้อง, เถา แก้เสมหะที่คั่งที่ปอด และลดอาการท้องร่วง ขั้นรุนแรง, ราก ใช้ขับลมลำไส้ แก้วิงเวียน, น้ำมัน ในพริกไทย ช่วยลดน้ำหนัก และนวดทาบริเวณที่ปวดเมื่อย กล้ามเนื้ออักเสบ


เมนูแนะนำวันนี้ทะเลผัดฉ่า นอกจากจะเป็นอาหารที่ให้พลังงานและคุณค่าทางโภชนาการสูง ยังเป็นแหล่งที่สำคัญของใยอาหาร ซึ่งมาจากการใส่เม็ดพริกไทยลงไป จึงมีประโยชน์ต่อระบบร่างกายคนเรา แวะมาทานอาหารหรือสนใจเมนูอาหารสุขภาพเมนูอื่นสามารถสอบถามได้ที่ร้าน myhome ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ถั่วพลูอีกหนึ่งผักที่มีคุณค่าทางอาหาร


ถั่วพู หรือ ผักถั่วพู อีกหนึ่งผักที่มีคุณค่าทางอาหารที่ดีต่อร่างกายและมีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรได้อีกด้วยค่ะ และวันนี้เราก็นำความรู้ของสรรพคุณของถั่วพูและประโยชน์ของถั่วพู มาฝากกันอีกเพื่อให้รับสารอาหารที่ช่วยรักษาโรคและมีประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายไปดูกันเลยดีกว่า

ประโยชน์ของถั่วพู

การกินถั่วพูก็ยังมีกากใยอาหารมากทำให้ระบบขับถ่ายของเราเป็นไปอย่างปกติ ท้องไม่ผูก นอกจากนั้นแล้วหัวของถั่วพูก็สามารถนำไปตากแห้งแล้วคั่วไฟให้เหลืองนำมาชงเป็นน้ำดื่มชูกำลังสำหรับคนป่วยหรืออ่อนเพลียง่ายได้อีกด้วย

คุณค่าทางอาหารของถั่วพู

ถั่วพู 100 กรัม ให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.4 กรัม โปรตีน 2.1 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม เส้นใย 1.2 กรัม แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 43 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม ไนอะซิน 0.8 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.35 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.14 มิลลิกรัม วิตามินซี 32 มิลลิกรัม

สรรพคุณของถั่วพู

- หัวใช้บำรุงร่างกาย แก้อ่อนเพลีย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไข้กาฬ
- ราก แก้โรคลมพิษกำเริบ ดีฟุ่ง ทำให้คลั่งเพ้อ ปวดท้อง ถั่วพูใช้รักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิด
- ตำรายาโบราณว่า ให้นำเมล็ดถั่วพลูมาต้มโดยคัดเอาเฉพาะเมล็ดแก่สีน้ำตาลเข้มจะรับประทานเมล็ดที่ต้มสุกเลยก็ได้ หรือนำเมล็ดที่ต้มสุกมาบดให้ละเอียดผสมน้ำสุกดื่มก่อนอาหาร 3 เวลา จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงเพิ่มกำลังวังชา


นอกจากถั่วพูจะเป็นยาแล้วยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารได้ตั้งหลายเมนู วันนี้เราเลยมาแนะนำเมนูอาหารที่ทำมาจากถั่วพู ทานแล้วว่ารับรองได้ประโยชน์มากมายแน่นอน เมนูนี้ก็คือ “ยำถั่วพูโบราณ” ที่มีรสชาติจัดจ้านและกลมกล่อม ได้รสซี้ดซ้าดด้วยความเผ็ด แถมเป็นเมนูลดน้ำหนักสำหรับคนที่กำลังรักษาหุ่นอีกด้วย สนใจหรือสบถามได้ที่ร้าน myhome ถนนแม่ชี ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 087-330-0333,045-311333 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น.

วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของผักกาดหอม ที่คุณควรรู้จัก


ผักกาดหอม หรือที่เรารูจักในชื่อของ ผักสลัด เป็นผักที่มีลำต้นเตี้ย แต่ส่วนที่เจริญมากที่สุดคือใบ แต่ละสายพันธุ์ก็มีช่วงฤดูกาลที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและยุโรป ประเทศจีนปลูกมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกเช่น ผักสลัด ผักกาดยี พังฉ้าย เป็นต้น มนุษย์นำใบของมาบริโภค มักใช้เป็นส่วนประกอบของสลัด แซนด์วิช แฮมเบอร์เกอร์ ทาโก้ หรือรับประทานเป็นผักสด แกล้มกับอาหารรสจัดจำพวกยำหรือลาบ สาคูไส้หมู หรือข้าวเกรียบปากหม้อ หรือแม้แต่ใช้เป็นผักตกแต่งเพื่อความสวยงาม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง[ต้องการอ้างอิง] ความต้องการใช้ของผู้บริโภคมีอยู่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงที่มีเทศกาลงานต่าง ๆ เช่น งานปีใหม่ จะขายดีเป็นพิเศษ


สรรพคุณและประโยชน์ทั้งหมดของผักกาดหอม

1. เมล็ด สรรพคุณช่วยขับน้ำนมของสตรีหลังคลอดบุตร (เมล็ด)

2. น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาแก้ไอได้เป็นอย่างดี (ใบ)

3. เมล็ดตากแห้งประมาณ 5 กรัม นำมาชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ถ้าหากใช้ต้นให้ใช้เพียงครึ่งต้นทานเพื่อช่วยขับเสมหะและแก้อาการไอ และไม่ควรใช้มากเกินไป (เมล็ด,ต้น)

4. สรรพคุณ ช่วยขับเหงื่อ (น้ำคั้นจากใบ)

5. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (น้ำคั้นจากทั้งต้น)

ผักกาดหอมที่คนไทยกินกันมากที่สุดก็คือ ผักกาดหอมใบ ที่มีใบสีเขียว โดยใบข้างนอกมีสีเขียวเข้มกว่าใบอ่อนด้านใน ขอบใบหยิกสวย ลำต้นลักษณะเป็นข้อสั้น เนื้อใบกรอบ รสหวานปนฝาดเล็กน้อย กินได้ทั้งแบบสด เช่น ใส่ในสลัด ยำ เมี่ยง แซนด์วิช ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หรือกินเคียงสาคูไส้หมู แต่เมื่อนำไปปรุงสุก ใบจะอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย และรสชาติหวานขึ้น เช่น ใส่ในแกงจืดหรือก๋วยเตี๋ยว ประโยชน์จากการกินผักกาดหอมก็คือ ช่วยให้นอนหลับง่าย ขับปัสสาวะ ล้างพิษ ขับเหงื่อ และแก้ไข้ และในผักกาดหอมหนัก 100 กรัม จะมีฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 24 มิลลิกรัม รวมถึงมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเอสูง ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาได้เป็นอย่างดี


ผักกาดหอมเป็นพืชที่ใช้สารเคมีในการปลูกค่อนข้างมาก เพราะมีแมลงศัตรูพืชและโรคเยอะ อีกทั้งต้นยังเจริญเติบโตใกล้ผิวดิน ก่อนจะกินหรือนำมาปรุงอาหาร จึงควรฉักแยกแต่ละใบออกจากลำต้น แล้วล้างให้สะอาด อีกปัญหาที่พบบ่อยของผักกาดหอมก็คือ มีรสขมจนต้องทิ้ง ซึ่งความขมก็ขึ้นอยู่กับระยะการเก็บผลผลิตและสภาพอากาศตอนปลูก โดยความขมของผักกาดหอม เกิดจากสารแลคทูคาเรียม (Lactucarium) ที่อยู่ในยางสีขาว ซึ่งมีประโยชน์ตรงที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลาย แก้ไอ และแก้ปวด ใบของผัดกาดหอม นำมาปรุงเป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้หลับได้ง่าย น้ำคั้นจะเป็นยาแก้ไอได้อย่างดี แก้ไข้ ขับปัสสาวะและขับเหงื่อ เมล็ดผัดกาดหอม จะมีรสขม ช่วยขับน้ำนม รักษาโรคตับ ขับปัสสาวะ เป็นยาระงับปวดแก้ปวดเอว รักษาริดสีดวงทวาร



บัวบก บำรุงสมอง เพิ่มความเยาว์วัย

เมื่อพูดถึง บัวบก หลายคนคงจะถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว เพราะเป็น สมุนไพร ที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณแก้ร้อนใน ช้ำใน หรือใครที่กระหายน้ำสามารถดื่ม...